Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

เข้าใจฮวงจุ้ยแก้ไขดวงชะตาที่ดี ตอนที่ 11

เข้าใจฮวงจุ้ยแก้ไขดวงชะตาที่ดี ตอนที่ 11

ตำนานที่น่าสนใจในฮวงจุ้ย
ฮวงจุ้ยที่ยอดเยี่ยมของปรมาจารย์กัวผู่
กัวผู่ปรมาจารย์วิชาอี้จิงซึ่งสำหรับศาสตร์ตัวเลขแล้วไม่มีอะไรที่ไม่รู้ โดยเฉพาะความหลักแหลมประณีตและลึกซึ้งที่มีต่อวิชาฮวงจุ้ย ในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก
ในช่วงที่ยังไม่มีชื่อเสียงนั้นแม่ของเขาได้ตายไป กัวผู่เลือกที่ธรรมดาๆ ผืนหนึ่งและฝังศพแม่ไว้ที่นั่น ที่ผืนนี้อยู่ใกล้น้ำมากปกติจะถูกน้ำท่วม ในตอนนั้นอาจารย์ฮวงจุ้ยหลายคนต่างบอกว่าที่ผืนนี้ไม่ดีพร้อมทั้งแนะนำเขาให้ย้ายไปฝังที่อื่น กัวผู่ยิ้มและแสดงความขอบคุณพร้อมทั้งพูดว่า “พวกท่านรอดูก็แล้วกัน”
พูดไปก็แปลก ผ่านไปหนึ่งปีแล้วน้ำไม่เพียงแต่ไม่ท่วมขึ้นมาแต่กลับลดลงไปไกลมาก บริเวณรอบๆ สุสานก็ได้กลายเป็นไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ หลังจากนั้นผู้คนต่างก็มองเขาด้วยสายตาอันน่าทึ่ง ด้วยเหตุนี้เองชื่อเสียงก็จึงกระเตื้องขึ้น ผู้คนจากแดนไกลมากมายต่างก็มาด้วยความเลื่อมใสในชื่อเสียงและเชิญให้เขาไปดูสุสานและฝังศพให้
กษัตริย์จิ้นหมิงในสมัยนั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ในด้านฮวงจุ้ยอยู่บ้าง ได้ยินว่ากัวผู่ไปดูสุสานให้กับผู้คนตามที่ต่างๆ อีกทั้งพิสูจน์แล้วมีผลเป็นจริง ก็เลยแต่งตัวนอกเครื่องแบบออกตรวจราชการและไปสำรวจยังสุสานต่างที่กัวผู่เป็นคนฝัง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บนเขา กษัตริย์ได้พบเห็นชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งกำลังฝังเขามังกร กษัตริย์จิ้นหมิงก็เลยเข้าไปถามชาวบ้านว่า “ทำไมเจ้าจึงต้องฝังเขามังกร” ซึ่งตามกฎหมายอาญาในสมัยนั้นการฝังเขามังกรจะต้องถูกริบทรัพย์สินจนหมดบ้านและลงโทษตามกฎหมาย
ชาวบ้านตอบว่า “ท่านกัวผู่เป็นคนบอก เขาบอกว่าฝังเขามังกรไว้ตรงนี้ ไม่เกินสามปีจะได้แสดงต่อกษัตริย์ ( 天子 เทียนจึ/กษัตริย์หรือโอรสสวรรค์)”
กษัตริย์จิ้นหมิงฟังแล้วก็รีบถาม “ฝังเอาไว้ที่ตรงนี้จะเกิดโอรสสวรรค์ (天子 เทียนจึ) เจ้าฝังเอาไว้ที่ตรงนี้ก็เพื่อให้ภายในครอบครัวเกิดโอรสสวรรค์ (天子 เทียนจึ) อย่างนั้นหรือ”
ชาวบ้านฟังแล้วยิ้มพูดว่า “ไม่ใช่ให้บ้านข้าเกิดโอรสสวรรค์ (天子 เทียนจึ) เพียงแต่ว่าจะสามารถให้กษัตริย์ (天子 เทียนจึ) มาที่นี่เพื่อถามคำถามเท่านั้น” ซึ่งนี่ก็ได้ตรงกับคำวินิจฉัยและความยอดเยี่ยมในศาสตร์ฮวงจุ้ยของกัวผู่

ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยไล่ปู้อีที่ท่องทะเลสาบเจียงหู
ช่วงสมัยราชวงศ์ซ่งในเมืองติ้งหนาน มณฑลเจียงซี มีปรมาจารย์ภูมิประเทศท่านหนึ่งชื่อ “ไล่ปู้อี” เล่าว่าเขาเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่มีอยู่และคอยช่วยเหลือผู้คนนับไม่ถ้วน เดิมทีควรจะมีโอกาสที่รุ่งโรจน์ คาดไม่ถึงว่ากลับถูกคนใช้ทำลายฮวงจุ้ยโดยไม่ได้เจตนา ทำให้ชั่วชีวิตของเขาจึงไม่มีบุญวาสนากับลาภยศ
ต่อมาเขาก็ได้รับการใส่ร้ายจากฉินฮุ่ย (อำมาตย์กังฉินในสมัยราชวงศ์หนานซ่ง) เขาก็เลยออกท่องทะเลสาบเจียงหู เนื่องจากเขามีความยอดเยี่ยมหลักแหลมในศาสตร์อภิปรัชญาทั้งห้าคือ หมอ ทำนาย ดวงดาว โหงวเฮ้ง และภูมิประเทศ และได้ช่วยเหลือประชาชนมากมาย ดังนั้นในหมู่ประชาชนจึงร่ำลือถึงสิ่งดีๆ ไม่น้อย
พ่อของเขาชื่อไล่เฉิงซานก็เป็นปรมาจารย์ภูมิประเทศที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ในปีที่ไล่ปู้อีมีอายุสิบเอ็ดปีปู่ของเขาก็เสียชีวิต พ่อจึงพูดกับเขาว่า “ลูกชายเจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดเกินคน ดังนั้นพ่อจะไม่ถ่ายทอดศาสตร์ภูมิประเทศให้แก่เจ้า หวังว่าในอนาคตเจ้าจะสอบจนได้ลาภยศเพื่อตระกูลไล่ของเรา แต่ในตอนนี้พ่อจะต้องออกไปยังแดนไกลเพื่อแสวงหาพื้นที่ตั้งสุสานที่มีฮวงจุ้ยที่ดีให้กับปู่ของเจ้า และเป็นการช่วยให้เจ้าได้เด่นกว่าคนทั่วไป”
ไล่เฉิงซานเลยออกจากบ้านไป เขาเดินไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองเล่อผิงแล้วมองเห็นแต่ภูเขาและแม่น้ำที่สวยงาม มีพลังความขลังที่เร่งรัด ก็เลยวินิจฉัยอย่างแน่ชัดว่าที่นี่ต้องเป็นตำแหน่งมังกรที่ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยโดยทั่วไปกล่าวถึง
ไล่เฉิงซานได้เลือกวันเวลาที่เป็นมงคลและเดินหน้าต่อไปยังเขาเล่อผิงเพื่อเตรียมฝังศพพ่อของตนเอง เมื่อมาถึงเป้าหมายเขาก็ได้ทำการวัดขนาดและวางเถ้ากระดูกลงไป ขณะที่กำลังจะกลบดินก็มีคนใช้คนหนึ่งท่าทางรีบร้อนมาก เมื่อวิ่งขึ้นมาบนเขาก็ถ่ายปัสสาวะลงไป ไล่เฉิงซานเห็นดังนั้นก็ขัดขวางไม่ทันเสียแล้ว จึงได้แค่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นโชคชะตา”
ไล่ปู้อีเห็นพ่อหน้านิ่วคิ้วขมวดกลับมาบ้านจึงถามพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อมองไล่ปู้อีแล้วพูดว่า “ตำแหน่งพื้นที่นี้เดิมทีสามารถช่วยดวงราชการของเจ้าให้เป็นสิริมงคลได้ แต่กลับถูกคนปัสสาวะรดลงไป พลังความขลังกระจัดกระจายไปหมด ในอนาคตเจ้าจะเป็นได้เพียงแค่ปรมาจารย์ของประเทศของหนึ่งเท่านั้น”
ไล่ปู้อี ได้ยินดังนั้นก็เลยปลอบใจพ่อของตนเองแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ของประเทศก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่”
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ไล่เฉิงซาน ก็ได้เริ่มนำเอาความรู้วิชาฮวงจุ้ยทั้งหมดในชีวิตของตนเองสอนให้กับ ไล่ปู้อี เวลาผ่านไปสองปี ไล่ปู้อี ต้องไปสอบยังในเมือง พ่อพูดกับเขาว่า “อย่านำเอาลาภยศมองเห็นเป็นเรื่องสำคัญจนเกินไป ใช้วิชาฮวงจุ้ยสร้างความผาสุกให้กับผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้ที่สุด”
พอถึงในเมือง เข้าสนามสอบเพื่อทำการสอบในวันแรก ไล่ปู้อี สะบัดปากกาทำข้อสอบด้วยความรวดเร็ว ข้อสอบทั้งสามวันเขาทำเสร็จทั้งหมดเพียงแค่วันเดียว ขณะที่เขากำลังมองดูอย่างละเอียดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงมาจากห้องข้างๆ เขาจึงลุกขึ้นไปดู
นักเรียนสอบห้องข้างๆ มีอาการเจ็บปวดเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น เขาก็เลยหยิบยาออกมาให้กิน ที่แท้แล้วคนๆ นี้คือช่างประปาแห่งเมืองเจียงซีมีชื่อว่าหลิวจ้งต๋า ไล่ปู้อี เห็นว่าเขาไม่สามารถทำข้อสอบได้ก็ปลอบใจเขาแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะทำข้อสอบแทนเจ้าเอง” หลังจากนั้นก็ช่วยหลิวจ้งต๋าทำข้อสอบจนเสร็จ
พริบตาเดียวผ่านไปวันประกาศผลสอบก็มาถึง ไล่ปู้อี เต็มไปด้วยความมั่นใจและรอคอยว่าตนเองจะสามารถสอบได้ที่หนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าคนที่ได้อันดับหนึ่งจะเป็น หลิวจ้งต๋า ไล่ปู้อี จึงทำได้เพียงแค่เก็บของกลับบ้าน
ไล่ปู้อี ไม่สมหวังกับการสอบจึงทำได้เพียงแค่กลับบ้านเมื่อกลับถึงบ้านยืนมองอยู่ที่หน้าประตูเห็นเพียงแค่แม่ฟุบอยู่ที่หน้าศพพ่อร้องไห้อย่างเจ็บปวด ในใจของ ไล่ปู้อี เสียใจมาก แม่ของเขาไม่ได้โทษ ไล่ปู้อี กลับปลอบใจแล้วพูดว่า “ลูกชาย เจ้าอย่าโทษตัวเอง ทั้งหมดล้วนเป็นโชคชะตา”
เมื่อพูดจบก็นำจดหมายฉบับหนึ่งที่พ่อมอบให้แก่ ไล่ปู้อี ออกมา จดหมายเขียนว่าต้องการให้ ไล่ปู้อี ไม่สนใจในลาภยศสรรเสริญ ขยันศึกษาค้นคว้าวิชาฮวงจุ้ยภูมิประเทศและกลายเป็นปรมาจารย์ชั้นหนึ่งของประเทศ พร้อมทั้งขอร้อง ไล่ปู้อี เป็นพิเศษว่าถ้าหากพบเจอตำแหน่งมังกรของจักรพรรดิเกิดขึ้นจะต้องนำถวาย ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะต้องทำลายตำแหน่งมังกรนี้ทิ้งเสีย เพื่อปกป้องสันติภาพใต้ฟ้า
นับจากนั้นมาไล่ปู้อีไม่คิดถึงเรื่องลาภยศอีก วันทั้งวันศึกษาค้นคว้าหนังสือที่ผู้เป็นพ่อทิ้งเอาไว้ให้ เนื่องจากสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาบวกกับมีความรู้ที่มากมาย ไม่นานนักก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นในโลกของโหราศาสตร์
วันหนึ่ง หลิวจ้งต๋า กลับบ้านเกิดเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และได้มาเยี่ยมเยียนไล่ปู้อีโดยเฉพาะ หลิวจ้งต๋า ให้ทองหนึ่งหีบแก่ไล่ปู้อีเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต ไล่ปู้อี ปฏิเสธแล้วพูดว่า “จ้งต๋า คำโบราณกล่าวว่า หนึ่ง ชีวิต สอง โชคชะตา สาม ฮวงจุ้ย สี่ หมั่นสะสมความดี ห้า ศึกษาเรียนรู้และท่องตำรา ทั้งหมดล้วนคือลิขิต”
หลิวจ้งต๋า เห็น ไล่ปู้อี พูดเช่นนี้ เขาคิดและพูดว่า “ตอนนี้ในพระราชวังกำลังรับสมัครปรมาจารย์โหราศาสตร์ เจ้าจะต้องตามข้ากลับเข้าเมือง กรุณาอย่าปฏิเสธข้าผู้น้อยเลย” ไล่ปู้อี ไม่ปฏิเสธและตอบตกลง
หลังจากที่เข้าเมืองมาแล้ว และได้พบเจอกับจักรพรรดิในพระราชวัง จักรพรรดิได้ยินฝีมือที่ไม่ธรรมดาของไล่ปู้อีก็เลยเรียกให้เขาสำรวจทั่วพระราชวัง เมื่อเดินมาถึงใกล้กับพระราชวังจาวหยาง ไล่ปู้อี มองทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว หลับตาแล้วไม่พูดอะไร หลังจากนั้นจึงแนะนำกับจักรพรรดิว่า “ตำแหน่งทิศทางของพระราชวังจาวหยางนี้ อิงทิศใต้ ประจัญทิศเหนือ ซึ่งตรงกับทิศทางของแนวเส้นปิ่ง (丙) พอดี แล้วปิ่ง/ติง (丙/丁) ถือเป็นธาตุไฟ ฉะนั้นข้าคาดการณ์ว่าในวันที่สิบแปดเดือนนี้พระราชวังหลังนี้จะเกิดไฟไหม้ เพราะว่าในวันนั้นเป็นวันพิฆาตของดาวธาตุไฟ หวังว่าฝ่าบาทจะออกคำสั่งให้เตรียมการป้องกัน”
จักรพรรดิได้ยินดังนั้นพูดว่า “ถ้าหากพอถึงวันนั้นแล้ว พระราชวังหลังนี้ไม่เกิดไฟไหม้เจ้าจะต้องกลับบ้านไป”
วันที่สิบแปด จักรพรรดิมีราชโองการสั่งห้ามใครก็ตามเข้าออกพระราชวังจาวหยาง หรือจุดตะเกียงโดยเด็ดขาด เวลาสองยามไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จักรพรรดิพูดกับ ไล่ปู้อี ว่า “เห็นทีการคาดการณ์ของเจ้าจะผิดพลาด” ไล่ปู้อี ตอบว่า “มติสวรรค์ลิขิตให้พระราชวังจาวหยางเกิดไฟไหม้ คนลิขิตสู้ไม่ได้กับฟ้าลิขิต พระราชวังหลังนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยงภัยพิบัตินี้ได้”
ขณะที่ทุกคนกำลังไม่เชื่อ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็มีดาวตกดวงหนึ่งบินตกลงมาบนพระราชวังจาวหยาง พริบตาเดียวไฟไหม้ไปทั่ว ทุกคนตกใจรีบวิ่งช่วยกันดับไฟ
จักรพรรดิมองเห็นสถานการณ์ในตอนนั้น ไม่เลื่อมใสความสามารถของ ไล่ปู้อี ไม่ได้ ก็เลยแต่งตั้งให้ ไล่ปู้อี เป็นปรมาจารย์ของประเทศ นับจากนั้นชื่อเสียงของปรมาจารย์แห่งประเทศ ไล่ปู้อี ก็ถ่ายทอดไปทั่วด้วยเหตุนี้

ทำไมไม้บรรทัดหลู่ปานฉื่อ (魯班尺) ถึงเรียกไม้บรรทัดเหวินกงฉื่อ (文公尺)
เกี่ยวกับที่มาของ ไม้บรรทัดหลู่ปานฉื่อ (魯班尺) ที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า (文公尺) มีเรื่องเล่ากันว่า หลู่ปาน กับ เหวินกง เป็นช่างไม้สองคนที่มีฝีมือเด่นกว่าเพื่อน แต่ว่า หลู่ปาน จะมีฝีมือที่สูงกว่าขั้นหนึ่งจึงทำให้เหวินกงมีความอิจฉาเป็นอย่างมาก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง จักรพรรดิต้องการให้สร้างพระตำหนัก ซึ่งนั่นเป็นพระตำหนักลอยฟ้าที่จักรพรรดิเห็นในฝันและเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่ความสวยงามที่ยอดเยี่ยมไม่รู้ลืม เลยตัดสินใจประกาศรับสมัครช่างไม้ทั่วทั้งใต้หล้า และให้สร้างพระตำหนักที่สวยงามตามแบบอย่างในฝันขึ้นมา
ในตอนนี้เอง หลู่ปาน และ เหวินกง ก็ได้รับคำสั่งด้วยเช่นกัน แต่ละคนต่างก็นำเอาลูกศิษย์ของตัวเองไป ออกแบบวาดเค้าโครงตำหนักในฝันของจักรพรรดิ แล้วแบ่งแยกงานกันทำ ซึ่งนี่เป็นสไตล์การก่อสร้างที่ไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อน ถึงแม้ว่าเหวินกงจะยกย่องฝีมือตัวเองว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้านี้ แต่ก็มองเห็นการใช้ความคิดที่ยอดเยี่ยมของหลู่ปาน จึงรู้สึกถึงการคุกคามเป็นอย่างยิ่ง เลยถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจแอบขโมยไม้บรรทัดที่มีระดับความยาวหนึ่งไม้บรรทัดครึ่งที่ หลู่ปาน นำมาใช้วัดความยาวแล้วเลื่อยท่อนเล็กๆ ออกหนึ่งท่อน เหลือความยาวเพียงแค่หนึ่งไม้บรรทัดสี่นิ้วหนึ่งเซนติเมตร ในใจของเขาคิดอย่างได้ใจว่า “เสาคานมีความยาวไม่พอ ข้าจะดูว่าเจ้าหลู่ปานจะสร้างพระตำหนักออกมาอย่างไร”
ส่วนเหล่าลูกศิษย์ของ หลู่ปาน ก็ตัดต้นไม้แต่ละต้นๆ ตามระดับความยาวที่อาจารย์มอบหมายและเหลาจนกลายเป็นเสาทรงกลม โดยไม่รู้สักนิดเลยว่าระดับความยาวของเสาทั้งหมดนั้นมีความยาวที่ไม่เพียงพอ
รอจนกระทั่งทั้งหมดเรียบร้อยและเริ่มที่จะทำการประกอบจึงจะพบว่าระดับความยาวไม่ถูกต้อง ในตอนนี้วัสดุก็ได้ถูกใช้จนหมดแล้ว เมื่อมองดูสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็คงจะต้องโละทิ้งไปและไม่สามารถที่จะปฏิบัติภาระหน้าที่นี้ได้สำเร็จ ทันใดนั้นเองหลู่ปานก็เกิดความคิดแปลกประหลาดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง นำเอาความยาวที่ไม่เพียงพอนี้ใช้หินสร้างเป็นก้อนกลมขึ้นมาใช้แทน แล้วประกอบขึ้นที่ระหว่างคานและเสา ผลคือก่อเกิดขึ้นเป็นโครงสร้างที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยิ่งเพิ่มความมั่นคงแข็งแรง ทั้งสวยงามและทั้งใช้งานได้จริง
จักรพรรดิรู้สึกพอใจและขอบคุณหลู่ปานเป็นอย่างมาก เพราะว่าเขาสามารถสร้างตำหนักในฝันออกมาได้จริงๆ ขณะที่จักรพรรดิมอบรางวัลให้กับ หลู่ปาน อยู่นั้นก็อดที่จะถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “ทำไมเจ้าจึงมีแรงบันดาลใจในการออกแบบที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
หลู่ปาน ตอบว่า “ทั้งหมดนี้อาศัยเหวินกงที่มอบไม้บรรทัดที่ทำให้ความลับของฟ้ารั่วไหลให้หนึ่งอัน จึงสามารถวัดระดับความยาวของโลกแห่งเทพเซียนออกมาได้” จักรพรรดิได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมากและชมเชยเหวินกง ครั้งนี้ เหวินกง จึงเชื่อถือ หลู่ปาน ด้วยความจริงใจและยอมรับว่าฝีมือของตนเองนั้นสู้ไม่ได้
ไม้บรรทัดที่มีความยาวหนึ่งไม้บรรทัดสี่นิ้วหนึ่งเซนติเมตรนี้ก็เลยแพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้ มีชื่อเรียกว่า ไม้บรรทัดหลู่ปานฉื่อ (魯班尺) หรือเรียกว่า ไม้บรรทัดเหวินกงฉื่อ (文公尺) นั่นเอง

เรื่องราวของฮวงจุ้ยแก้ไขดวงชะตา
ช่วงสมัยราชวงศ์ชิงของจักรพรรดิเฉียนหลงมีคนแซ่เฉินชื่อหยวนไว่เกษียณและอยู่บ้านคอยต้อนรับแขกที่ไปมาอย่างเอื้ออารี ไม่ว่าจะเป็นคนตรวจดวงชะตา คนดูโหงวเฮ้ง คนตรวจฮวงจุ้ย เมื่อมาถึงบ้านของเขาก็ล้วนมีที่ให้กินให้อยู่
คนตรวจดวงชะตา คนดูโหงวเฮ้ง คนตรวจฮวงจุ้ย ที่อาศัยอยู่บ้านเฉินหยวนไว่นั้นในทุกๆ มื้อที่กินข้าวจะมีด้วยกันสองโต๊ะ คนเหล่านี้ต่างคนต่างก็มีลักษณะพิเศษและความสามารถพิเศษกันทั้งนั้น
เฉินหยวนไว่เลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่คนหนึ่งแซ่หู อายุแปดปี คอยทำงานเบ็ดเตล็ด เที่ยงวันหนึ่งที่บ้านเฉินหยวนไว่ คนตรวจฮวงจุ้ยเฉินหลิงหุน กับ คนตรวจดวงชะตาหูเซียงจุ่น กินข้าวอยู่โต๊ะเดียวกัน เด็กกำพร้าแซ่หูเดินผ่านโต๊ะกินข้าวของพวกเขาทั้งสองคน คนตรวจดวงชะตาหูเซียงจุ่นชี้ไปที่หลังของเด็กกำพร้าแล้วพูดกับคนตรวจฮวงจุ้ยเฉินหลิงหุนว่า “อย่างคนประเภทนี้ตลอดทั้งชีวิตจะมีแต่ความยากลำบากและไร้คนคอยสนับสนุนช่วยเหลือ”
เฉินหลิงหุน พูดว่า “คนๆ นี้ที่บ้านเขาไม่มีฮวงจุ้ย มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่เป็นเช่นนี้” หูเซียงจุ่น รีบโต้กลับทันทีแล้วพูดว่า “ข้าและเจ้ามาพนันกัน เจ้าตรวจฮวงจุ้ยภูมิประเทศเป็น เจ้าสามารถหาตำแหน่งที่ตั้งให้เด็กคนนั้นฝังบรรพบุรุษของเขาได้ หากห้าปีผ่านไปเด็กคนนี้เจริญก้าวหน้า ข้าก็จะยอมแพ้และนับจากนั้นข้าจะไม่ดูโหงวเฮ้งอีก ข้าจะนำหนังสือโหงวเฮ้งทั้งหมดเผาทิ้ง” เฉินหลิงหุน ตกลงยอมรับพนันกับ หูเซียงจุ่น อีกทั้งนัดหมายว่าหลังจากนี้ห้าปีให้กลับมาพบกันที่บ้านของเฉินหยวนไว่
หลังจากที่ทั้งสองแยกย้ายกันไป เฉินหลิงหุน ก็รีบไปหาที่ตั้งสุสานผืนหนึ่งทันที ออกเงินให้และเลือกวันดีให้ด้วยตัวเองเพื่อช่วยเด็กกำพร้าคนนั้นฝังศพพ่อแม่
ห้าปีผ่านไป เฉินหลิงหุนและหูเซียงจุ่นก็กลับมาพบกันอีกครั้งที่บ้านของเฉินหยวนไว่ เพิ่งพักแรมได้หนึ่งคืน หูเซียงจุ่น ก็ใช้ให้จางเสี่ยวเฟิ่งสาวใช้ที่โปรดปรานของเฉินหยวนไว่ให้ไปตามเด็กกำพร้าแซ่หู (ตอนนี้เฉินหยวนไว่ได้ตั้งชื่อให้เด็กกำพร้าว่าหูเจี้ยนหลง) หลังจากที่หูเซียงจุ่นได้พบหูเจี้ยนหลงก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าหูเจี้ยนหลงเมื่อเทียบกับห้าปีก่อนแล้วแตกต่างเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง หูเจี้ยนหลงในตอนนี้มีหน้าตาที่สง่าผ่าเผย มีหน้าผากที่กว้างขวาง ปากเหลี่ยม จมูกตรง ดวงตาโตมีชีวิตชีวา เมื่อมองเห็นเขาใครก็ต้องคิดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีผลงานและความสามารถ
หูเซียงจุ่น พูดกับ เฉินหลิงหุน ว่า “ที่ข้าพนันกับเจ้า ข้าแพ้แล้ว ฮวงจุ้ยของเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของคนได้ วิธีการตรวจดูโหงวเฮ้งของข้าต่อให้ดีอย่างไรก็ใช้ไม่ได้ ตำราโหงวเฮ้งของข้าให้เจ้าเป็นคนเผาทิ้ง แล้วข้าขอคารวะเจ้าเป็นอาจารย์เปลี่ยนอาชีพมาเป็นคนตรวจฮวงจุ้ย”
เล่ากันว่าหลังจากนั้น หูเซียงจุ่น ได้เปลี่ยนชื่อเป็น หูจ้ายเสวี๋ยะ ฮวงจุ้ยภูมิประเทศของเขาก็มีความโดดเด่นมากเช่นกัน ต่อมา หูเจี้ยนหลง ได้แต่งงานกับ จางเสี่ยวเฟิ่ง (ซึ่งเฉินหยวนไว่คิดว่าจางเสี่ยวเฟิ่งเป็นลูกบุญธรรม) ภายใต้การสงเคราะห์สนับสนุนจากเฉินหยวนไว่ก็เกิดความร่ำรวยอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้กำเนิดลูกชายห้าคน ลูกสาวสองคน ลูกชายคนหนึ่งสอบเป็นข้าราชการได้ในวัง ลูกชายสองคนสอบเป็นข้าราชการได้ในต่างเมือง ลูกชายอีกสองคนได้รับการแนะนำให้เข้าไปเรียนการศึกษาชั้นสูงในเมืองหลวง ลูกสาวสองคนแยกย้ายกันไปแต่งงานกับข้าราชการที่สอบเข้าได้ในวังที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
การเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของ หูเจี้ยนหลง ทั้งหมดอาศัยความช่วยเหลือของคนตรวจฮวงจุ้ยเฉินหลิงหุน เขาถึงมีครอบครัวเช่นนี้ได้


ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะครับ…สวัสดีครับ

ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับฮวงจุ้ยผ่านทางเฟซบุคได้ที่ เพจฮวงจุ้ยอาจารย์หม่า

https://www.facebook.com/pages/ฮวงจุ้ยอาจารย์หม่า

วันที่ 22/02/2557 เวลา 0:40 น

ไม่มีความคิดเห็น: