เข้าใจฮวงจุ้ยแก้ไขดวงชะตาที่ดี ตอนที่ 12
ตำนานที่น่าสนใจในฮวงจุ้ย
บ้านที่สามารถหลบเลี่ยงไฟไหม้ได้
ในตำบลเตี้ยนโข่ว เมืองจูจี้ มณฑลเจ๋อเจียง ครอบครัวเฉินมีบ้านเก่าแก่อยู่หลังหนึ่งซึ่งประสบกับไฟไหม้มาหลายครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนรุ่นก่อนๆ เล่าว่า บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยต้นราชวงศ์ชิงโดยคนที่ชื่อเฉินจื่ออี ก่อนที่จะทำการขยับหน้าดินเพื่อสร้างบ้าน เขาตั้งใจที่จะไปยังในเมืองจูจี้เพื่อหาผู้มีความชำนาญในการเลือกวันที่เป็นมงคลคนหนึ่งแซ่เซี่ย เซี่ยโหมวพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “กรุณารอสักประเดี๋ยว วันมงคลจะสามารถเลือกออกมาได้เรียบร้อยในทันที”
เฉินจื่ออีรีบร้อนนำเอาค่าตอบแทนออกมา เซี่ยโหมวเห็นจึงรีบพูดใหม่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เชิญท่านกลับมาใหม่ในอีกสามวัน” เฉินจื่ออีเข้าใจจุดประสงค์ของเซี่ยโหมวในทันที คือจะตัดสินระดับความดีเลวของวันมงคลตามจำนวนค่าตอบแทน ก็เลยล้วงเงินอีกหนึ่งตำลึงออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างนอบน้อม พร้อมทั้งพูดอ้อนวอนว่า “ข้าลำบากมาทั้งชีวิตถึงจะค่อยๆ สะสมเงินมาสร้างบ้านหลังนี้ได้ หวังว่าท่านจะเลือกวันมหามงคลให้ด้วยความตั้งใจ” เซี่ยโหมวงึมงำสักครู่จึงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเชิญท่านกลับมาใหม่ในอีกหนึ่งเดือน”
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เฉินจื่ออีก็กลับมายังบ้านเซี่ย เซี่ยโหมวนำเอาวันที่เลือกเอาไว้แล้วส่งให้แก่เขา กำชับว่า “หวังว่าท่านจะสามารถขยับหน้าดินตามวันที่ให้ไว้นี้ และอย่าทำการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยโดยเด็ดขาด”
เฉินจื่ออีจำขึ้นใจ ขยับหน้าดินตามวันที่ให้มา หลังจากที่บ้านสร้างเสร็จได้ไม่นาน ในตำบลก็เกิดไฟไหม้ขึ้นอย่างกะทันหัน บ้านที่อยู่ด้านหน้า หลัง ซ้าย ขวา ล้วนถูกไหม้จนดำเกรียม มีเพียงบ้านใหม่หลังนี้เท่านั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่หลังเดียว ไม่เกิดความเสียหายขึ้นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นก็เกิดไฟไหม้ขึ้นอีกสามสิบกว่าครั้ง บ้านหลังนี้ก็ล้วนรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ทุกครั้ง จนถึงสมัยราชวงศ์กวงซวี่ ลูกหลานรุ่นหลังของตระกูลเฉินก็ยังคงเฝ้ารักษาอยู่ในบ้านเก่าแก่หลังนี้ และลูกหลานรุ่นหลังก็ล้วนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แข็งแรงและสงบสุข
เรื่องราวฮวงจุ้ยที่น่าสนใจในแต่ละยุคสมัย
สมัยตงฮั่นผู้คนให้ความสำคัญต่อประเพณีการฝังศพเป็นอย่างมาก นี่เป็นการส่งเสริมให้ศาสตร์ฮวงจุ้ยได้มีการพัฒนา ในหนังสือ “โฮ่วฮั่นซู (後漢書)” ได้บันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ยเอาไว้มากมาย
ตามบันทึกใน “โฮ่วฮั่นซู (後漢書) / หยวนอันฉวาน (袁安傳)” หลังจากที่พ่อของ หยวนอัน ตาย แม่ของเขาก็ต้องการให้เขาไปสืบเสาะหาพื้นที่ฝังสุสาน ระหว่างทางหยวนอันได้พบกับปัญญาชนสามคน เหล่าปัญญาชนนั้นก็ชี้ไปยังที่ผืนหนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้านำพ่อของเจ้าฝังเอาไว้บนที่ผืนนี้ เจ้าจะสามารถรับราชการได้จนถึงขั้นสูงสุด” หยวนอันทำตามคำกล่าวนั้น ต่อมาลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
สมัยราชวงศ์เว่ยและจิ้นเกิดปรมาจารย์ศาสตร์ฮวงจุ้ยเหมือนอย่างกวานลู่และกัวผู่ ขณะเดียวกันยังเป็นคนที่อยู่อย่างสันโดษที่มีความถนัดในศาสตร์ฮวงจุ้ยมากมาย “หนังสือจิ้นซู (晉書)” ได้บันทึกเรื่องราวของปรมาจารย์ที่ไร้ชื่ออยู่หลายท่าน
ถาวข่าน ยากจนมาตั้งแต่เล็ก จะจัดงานศพก็ลำบากมาก ขณะที่กำลังจะฝังศพบรรพบุรุษนั่นเอง วัวของบ้านไม่รู้วิ่งหนีหายไปที่ไหน ระหว่างทางที่ถาวข่านกำลังหาวัวอยู่นั้นก็พบกับคนชราคนหนึ่ง คนชราบอกกับเขาว่า “เนินเขาที่ด้านหน้ามีวัวตัวหนึ่งนอนอยู่ในร่องน้ำ ถ้าหากว่าฝังศพเอาไว้ที่ตรงนั้นคนรุ่นหลังจะสามารถได้เป็นขุนนางทันที”
แล้วคนชราก็ชี้ไปยังพื้นที่อีกตำแหน่งหนึ่งบอกว่า “รองลงมาก็คือที่ตรงนั้น คนรุ่นหลังสามารถเป็นข้าราชการได้สองพันรุ่น” คนชราพูดจบก็หายตัวไป
ถาวข่าน หาวัวตัวนั้นเจอตามที่คนชราบอก พร้อมทั้งฝังศพพ่อของตนเองเอาไว้ที่ตรงนั้น แล้วนำเอาภูเขาอีกลูกหนึ่งที่คนชราชี้ไปบอกกับโจวฝ่าง หลังจากที่พ่อของโจวฝ่างตายก็ได้นำไปฝังเอาไว้ที่เขาลูกนั้น ต่อมาโจวฝ่างได้รับราชการเป็นทูตประจำเมือง ลูกหลานของโจวฝ่างก็ล้วนได้เป็นทูตเช่นกัน ส่วนงานราชการของถาวข่านก็ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้มากเช่นกัน
พอถึงสมัยราชวงศ์ถัง ความรู้ในการดูชัยภูมิก็ค่อยๆ กลายเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น กิจกรรมทางด้านฮวงจุ้ยนับวันก็จะยิ่งมีความเจริญรุ่งเอง ในสมัยราชวงศ์ถังไม่ว่าจะเป็นขุนนางข้าราชการหรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เมื่อตายลงก็ล้วนต้องคำนวณหาพื้นที่ตั้งสุสานและคำนวณหาวันที่เป็นมงคล นี่จึงกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ธรรมดามากอย่างหนึ่ง
พอถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง ศาสตร์ฮวงจุ้ยก็เพิ่มความเฟื่องฟูมากยิ่งขึ้น จักรพรรดิหลายพระองค์ก็ล้วนเชื่อในฮวงจุ้ย ซ่งหุยจง ก็เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่เชื่อในฮวงจุ้ยมาก
เดิมทีซ่งหุยจงไม่มีลูกชาย มีปรมาจารย์ฮวงจุ้ยท่านหนึ่งมีชื่อว่าหลิวหุ้นคังบอกกับเขาว่า “ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงมีลักษณะชัยภูมิที่สูงต่ำ ถ้าหากเพิ่มให้สูงขึ้นได้ จะมีเรื่องน่ายินดี” หุยจงก็เลยออกคำสั่งให้เสริมเนินเขาให้สูงขึ้นหลายเมตร ต่อมาสุดท้ายแล้วหุยจงก็ได้ลูกชาย
ปลายสมัยราชวงศ์ชิง ในเมืองปักกิ่งเคยมีคำพูดร่ำลืออย่างหนึ่งคือ ความตกต่ำเสื่อมถอยของเมืองปักกิ่งทั้งสามราชวงศ์มีความเกี่ยวพันกับชื่อเรียกประตูหน้าสามบานที่อยู่ในเมือง
ชื่อเรียกของประตูหน้าทั้งสามบานแบ่งเป็น ประตูเจิ้งหยาง (正陽門) ประตูฉงเหวิน (崇文門) และ ประตูเซวียนอู่ (宣武門) ประตูเจิ้งเหมินได้พยากรณ์ปีรัชสมัย “จื้อเจิ้ง (至正)” ของปลายปีสมัยราชวงศ์ซ่ง ประตูฉงเหวินได้พยากรณ์ปีรัชสมัย “ฉงเจิน (崇禎)” ของปลายปีสมัยราชวงศ์หมิง ประตูเซวียนอู่ได้พยากรณ์ปีรัชสมัย “เซวียนถ่ง (宣統)” ของปลายปีสมัยราชวงศ์ชิง ผู้คนในสมัยนั้นเชื่อว่าการสิ้นชาติบ้านเมืองของสมัยราชวงศ์หยวน หมิง และ ซ่ง ทั้งสามราชวงศ์นี้เป็นการเกิดขึ้นจากการชักนำของชื่อเรียกประตูหน้าทั้งสามบาน
เรื่องเล่าฮวงจุ้ยของจักรพรรดิตระกูลจ้าวและนายพลตระกูลหยาง
สมัยราชวงศ์ซ่งเปิดประเทศขึ้นมาโดยจักรพรรดิจ้าวควางอิ้น ซึ่งสมัยเป็นหนุ่มมีชื่อว่า “จ้าวไล้จึ” เกิดมาต่ำต้อย เคยทำงานเป็นชาวนารับจ้างให้กับเศรษฐีตระกูลหยาง
สมัยที่จ้าวไล้จึยังหนุ่มชอบเล่นปืนเล่นกระบองทำให้มีฝีมือที่ไม่เลว โดยเฉพาะเขาชอบตามพ่อไปจับปลาที่แม่น้ำลึกตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้มีฝีมือในการดำน้ำอีกเช่นกัน เขาสามารถดำน้ำลึกได้นานครึ่งชั่วโมงภายในลมหายใจเดียว
ในปีนั้นแม่ของเศรษฐีตระกูลหยางซึ่งเป็นนายจ้างของจ้าวไล้จึตายลง ระหว่างที่ตระกูลหยางจัดพิธีศพอย่างใหญ่โตมโหฬาร ก็ได้เชิญอาจารย์ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดมาหาพื้นที่ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในการฝังศพแม่ของเขา หาไปหามาในที่สุดอาจารย์ฮวงจุ้ยก็พบสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่งแต่กลับเป็นพื้นที่ปากมังกรที่อยู่ในแม่น้ำลึกและกระแสน้ำมีความรุนแรง แต่จะทำอย่างไรจึงจะสามารถนำศพของแม่ลงไปฝังได้
คนในครอบครัวปรึกษากันในที่สุดก็ตัดสินใจว่าให้นำศพของแม่เผาจนกลายเป็นเถ้ากระดูกและเก็บใส่กล่องเหล็ก แล้วให้จ้าวไล้จึเป็นคนนำลงไปที่ใต้น้ำลึกเพื่อฝังในพื้นที่ปากมังกร พวกเขาจึงรีบบอกกล่าวแก่จ้าวไล้จึเพื่อให้เขาทราบถึงวันเวลามงคลที่จะนำไปฝังใต้น้ำ
ในคืนที่จ้าวไล้จึได้รับข่าวสารนั้นก็เป็นคืนเดียวกับที่พ่อของเขาป่วยตายพอดี จ้าวไล้จึกลอกตาและคิดอยู่ในใจสักครู่ ก็นำศพพ่อของเขาเผาจนกลายเป็นเถ้ากระดูกในคืนนั้น และเก็บใส่กล่องไม้เล็กๆ ด้วยเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นจ้าวไล้จึแอบเอากระดูกของพ่อออกมาด้วยแล้วมายังบ้านตระกูลหยาง เขารับกล่องใส่กระดูกของนายแม่มาแล้วดำลงไปมองใต้น้ำในจุดที่ชี้ ก็เห็น “ปากมังกร” หินที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เขารีบเอาเถ้ากระดูกของพ่อออกมาแล้วใส่เข้าไปใน “ปากมังกร” และเมื่อเขาเตรียมจะนำเถ้ากระดูกของนายแม่ใส่เข้า ทันใดนั้นเอง “ปากมังกร” ก็ปิดลง แล้วนี่จะทำอย่างไร จ้าวไล้จึรีบคิด เขาจึงทำได้แค่เพียงนำกล่องเถ้ากระดูกของนายแม่แขวนที่เขาของมังกรบนหัวมังกร
จ้าวไล้จึโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ อาจารย์ฮวงจุ้ยได้คำนวณสิ่งที่จ้าวไล้จึทำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่นี่ก็เป็นวาสนาของคน
พูดก็คือ พ่อของจ้าวไล้จึฝังไว้ในตำแหน่งที่ดี นกกางเขนก็เลยรีบบินไปยังบ้านจ้าวแล้วประกาศเรื่องมงคลว่า “จ้าวไล้จึได้เป็นจักรพรรดิหมื่นๆ ปี จ้าวไล้จึได้เป็นจักรพรรดิ์หมื่นๆ ปี”
ขณะนี้เอง แม่ของจ้าวไล้จึกำลังล้างชามและตะเกียบอยู่บนเตาไฟพอดี ได้ยินนกกางเขนร้องแปลกๆ เช่นนี้ ก็เลยเอาตะเกียบในมือที่ล้างสะอาดแล้วทุบลงไปบนอ่างล้างจานที่อยู่บนเตาไฟแล้วพูดว่า “เฮ้อ นกกางเขนเอ๋ย อย่าพูดว่าให้จ้าวไล้จึได้เป็นจักรพรรดิหมื่นๆ ปีเลย ให้เขาได้เป็นจักรพรรดิแค่สิบกว่าปี คืนหนี้สินที่ครอบครัวติดค้างให้หมดก็ไม่เลวแล้ว”
ในตอนนี้เองเรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว เทพเจ้าเตาไฟก็รีบขึ้นไปบนสวรรค์บอกกับยวี่หวางต้าตี้ว่า “ยวี่หวางต้าตี้แย่แล้ว เมื่อกี้นายแม่ตระกูลจ้าวพูดว่าให้จ้าวไล้จึเป็นจักรพรรดิแค่สิบกว่าปีก็พอแล้ว” เมื่อยวี่หวางต้าตี้ได้ยินดังนั้นก็เกิดโมโหจึงประกาศว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้จ้าวไล้จึเป็นจักรพรรดิสิบเก้าปีก็แล้วกัน ส่วนลูกหลานของเขาก็ให้สามร้อยปีในใต้หล้า”
สุดท้ายแล้วจ้าวไล้จึหรือจ้าวควางอิ้น นับตั้งแต่เกิดการวางแผนก่อกบฏเขาก็ได้เป็นจักรพรรดิ และก็ได้เป็นสิบเก้าปีพอดี แล้วตระกูลจ้าวนับตั้งแต่รัชสมัยเป่ยซ่งถึงหนานซ่งคือสามร้อยสิบเก้าปี ซึ่งลูกหลานของเขามีประวัติศาสตร์สามร้อยปีพอดี ส่วนตระกูลหยางนั้นนับตั้งแต่เริ่มต้นสมัยราชวงศ์ซ่ง ไม่ว่าจะสมัยใดราชวงศ์ใดก็ล้วนได้เป็นผู้นำที่มีความสามารถทั้งสิ้น
ตำนานฮวงจุ้ยของหูซานเสิ่ยและสุสานบรรพบุรุษ
หูซานเสิ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ในระหว่างราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หยวน ภูมิหลังของครอบครัวเป็นครอบครัวที่มีความรู้และมีความสุภาพอ่อนน้อม พ่อของเขาชื่อหูเหยา มีความรู้ความสามารถและมีความสุภาพอ่อนน้อม เชี่ยวชาญในประวัติศาสตร์ เป็นผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งในชนบท ผู้คนเรียกเขาว่า “ซานเจ๋ออี๋ฉาย (山澤遺才)” ส่วนหูซานเสิ่งผู้คนเรียกเขาว่า “ซานจงซิ่วซื่อ (山中秀士)” ซานเสิ่งเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กและได้รับอิทธิพลมาจากพ่อของเขา ทำให้เวลาที่เหลือจากการทำการบ้านก็มุ่งศึกษาตำรา “ทงเจี้ยน (通鑑)”
พ่อของเขารู้สึกว่าคำอธิบายของแต่ละสำนักในตำรา “ทงเจี้ยน (通鑑)” ถึงแม้ว่าจะเต็มเปี่ยม แต่ในด้านเสียงอ่านกับความหมายของตัวอักษร และการแปลข้อความ นั้นยังมีที่ผิดอยู่มากมาย อีกทั้งเห็นว่าซานเสิ่งมีความสามารถ ฉลาด และมีสติปัญญา ก็เลยฝากฝังให้เขาแก้ไขคำผิดในตำรา “ทงเจี้ยน (通鑑)” ในภายภาคหน้า ขณะที่ซานเสิ่งมีอายุสิบห้าปี พ่อของเขาก็เสียชีวิต ถึงแม้ว่าสถานการณ์ที่บ้านจะลำบากยากแค้น แต่ซานเสิ่งก็จำความปรารถนาของผู้เป็นพ่อได้อย่างแม่นยำ และยิ่งเพิ่มเติมความมุมานะพากเพียรบากบั่น ปี 1256 หูซานเสิ่ง กับเหวินเทียนเสียง ลู่ซิ่วฟู เซี่ยฝางเต๋อ ได้ผ่านการสอบเข้ารับราชการพร้อมกัน
หลังจากที่สอบผ่านแล้ว หูซานเสิ่งได้ใช้เวลาที่เหลือจากการทำงานเอกสารราชการทุ่มเทกำลังให้กับงานการสำรวจคำในตำรา “ทงเจี้ยน (通鑑)” ได้อ้างอิงอย่างครอบคลุมและแก้ไขอย่างเต็มที่ทีละคำๆ หูซานเสิ่งใช้กำลังของคนๆ เดียวในการพยายามอย่างที่สุด เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ หมกมุ่นและตั้งใจ เวลาผ่านไปเก้าปี ในปี 1284 ตำรา “จือจื้อทงเจี้ยนอินจู้ (資治通鑑音注)” ก็ได้เสร็จสมบูรณ์เป็นตำราที่เก็บเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ เป็นงานประพันธ์อันยิ่งใหญ่ที่มีทั้งหมด 294 ม้วน ซึ่งนี่คือหนังสือประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด
ตามที่ได้ศึกษาค้นคว้าทั้งหมด หูซานเสิ่งได้ทำหมายเหตุเอาไว้ 1185 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นการอ้างอิงจากหนังสือ 63 ประเภท อ้างอิงจากคำพูดบุคคลอื่น 32 คน ขณะเดียวกัน หูซานเสิ่งยังมีผลงานประพันธ์ “ทงเจี้ยนซื่อเหวินเปี้ยนอู้ (通鑑釋文辨誤)” 20 ม้วน “ซินจู้จือจื้อทงเจี้ยนซวี่ (新注資治通鑑序)” และ “ทงเจี้ยนซื่อเหวินเปี้ยนอู้โฮ่วซวี่ (通鑑釋文辨誤後序)” ซึ่งตำราเหล่านี้เป็นตำราในวิชาประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแห่งการทนุถนอมเก็บรักษา
หูซานเสิ่งเป็นนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนคนหนึ่ง ปัจจัยภายนอกที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ถ้าวิเคราะห์จากมุมมองฮวงจุ้ยก็มีแหล่งที่สามารถแสวงหาได้
สำหรับภูมิหลังครอบครัวของหูซานเสิ่งประชาชนเล่าลือกันเช่นนี้ว่า สุสานปู่ของหูซานเสิ่งชื่อหูฉิ่งได้รับพื้นที่ฮวงจุ้ยล้ำค่าผืนหนึ่งบนเขาไท่หยาง และได้แสดงผลที่ตัวของหูซานเสิ่งซึ่งเป็นหลานชาย
เขาไท่หยางตั้งอยู่บริเวณค่อนไปทางเหนือของหมู่บ้านจงหู ทิศตะวันตกเชื่อมติดกับเขาฮวาเจียน ทิศใต้ติดกับเขาหลงซวี ยอดเขาหลักมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 72 เมตร เนื่องจากว่ายอดเขาหลักสูงกว่าเขามากมายที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ ในทุกๆ เช้าเวลาที่พระอาทิตย์ส่องแสงไปยังยอดเขา แสงอาทิตย์ที่ส่องสะท้อนจะระยิบระยับไปทั้งผืน ชื่อเขาไท่หยางจึงได้มาจากความสวยนี้เอง
ตรงกลางของภูเขาไท่หยางมีเทือกเขาอยู่หนึ่งแห่งที่รูปทรงเหมือนสิงโต ผู้คนจึงเรียกว่าเขาสิงโต เทือกเขามีความเอียงลาดแต่ไม่ไหลพุ่ง มีเนินกลมๆ ที่โผล่ขึ้นมา พูดกันว่าเป็นกระดิ่งที่อยู่ใต้คอของสิงโต สุสานปู่ของหูซานเสิ่งก็คือเลือกตั้งอยู่บนพื้นที่เนินกลมๆ ที่ราบเรียบนี้
ด้านหน้าของสุสานมีนารูปทรงสี่เหลียมผืนผ้าอยู่สองผืนที่มีขนาดเท่ากัน อีกทั้งราบเรียบและกว้างใหญ่ นาด้านขวามีหินเรียบๆ ขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม ปลายด้านหนึ่งมีแอ่งเว้าเล็กน้อยดุจดั่งแท่นฝนหมึก ตรงข้ามกับสุสานมียอดเขาแหลมสามลูกเรียงตัวกันอยู่ ยอดเขาลูกกลางสูงกว่าเล็กน้อย ส่วนยอดเขาด้านข้างทั้งสองก็เตี้ยกว่าเล็กน้อย เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็จะเหมือนกับโครงที่แขวนพู่กันขนาดใหญ่ ใต้ยอดเขาทั้งสามลูกนี้มีรูปร่างคล้ายกับหมวกข้าราชการ เรียกว่า เทือกเขาซาเม่า
เมื่อมีเรื่องเล่าฮวงจุ้ยที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ “ฟ้าและมนุษย์สนองตอบซึ่งกันและกัน” จึงได้มีหูซานเสิ่งที่มีชีวิตที่ได้ประสบการณ์มาจากการศึกษาหาความรู้ในเวลาต่อมานั่นเอง
ตำนานฮวงจุ้ยของจอหงวนบู๊ในสมัยราชวงศ์ชิง
เล่ากันว่าจักรพรรดิ์ในสมัยราชวงศ์หวัง ไม่ว่าที่ไหนเกิดจอหงวน ราชสำนักจะต้องส่งปรมาจารย์เต๋าไปยังสถานที่ที่เกิดจอหงวนเพื่อสำรวจดูฮวงจุ้ยบริเวณที่อยู่อาศัย ถ้าหากสำรวจแล้วไม่พบฮวงจุ้ยบริเวณที่อยู่อาศัยที่ดี จอหงวนก็จะถูกมองว่าเป็นปีศาจและถูกประหารชีวิตด้วยการตัดหัว
หลี่เวยกวงเป็นคนในหมู่บ้านหวางผู่ ตำบลฮว๋าเฉิง เขตอู่ฮว๋า ได้เป็นจอหงวนบู๊ในสมัยราชวงศ์ชิงตอนกลาง หลังจากที่ประกาศผลสอบ ราชสำนักก็ได้ส่งปรมาจารย์เต๋าไปยังหมู่บ้านหวางผู่เพื่อสำรวจบริเวณที่อยู่อาศัยของหลี่เวยกวง
เมื่อปรมาจารย์มองดูบริเวณรอบที่อยู่อาศัยของหลี่เวยกวงก็รีบอุทานว่า ฮวงจุ้ยดี ฮวงจุ้ยดี ที่แท้แล้วที่ด้านหลังของบ้านหลี่เวยกวงมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก ชื่อว่า “เทือกเขาปังกง” มีรูปทรงเหมือนกับคันธนู ส่วนบ้านตั้งอยู่บนสายธนู ปรากฎเป็นสภาวการณ์หน้าไม้ประกอบกันกับศรธนู
จากด้านหน้าประตูบ้านมองตรงออกไปเป็นหมู่บ้านที่กั้นด้วยแม่น้ำใต้ทะเลสาบ ชื่อว่า “เกาฮว๋า” ที่หมู่บ้านมีอาคารที่มีชื่อว่า “กู่เจิ้งลี่” และมองตรงยาวออกไปอีก สถานที่ที่ไกลออกไปอีกไม่กี่ลี้ก็ตรงกับยอดเขาสูงลูกหนึ่ง มีชื่อว่า “เกาจงโส่ว” บ้านของหลี่เวยกวงก็เลยเชื่อมกันเป็นเส้นเดียวกับ “เทือกเขาปังกง (邦弓) เกาฮว๋า (高華) กู่เจิ้งลี่ (古正利) เกาจงโส่ว (高中首)”
ใช้ทฤษฎีฮวงจุ้ยภูมิประเทศมาอธิบาย บ้านของหลี่เวยกวงเป็นธนูที่ง้างหน้าไม้ประกอบกันกับศรธนูบนสายธนู แล้วปล่อยตรงไปข้างหน้าอย่างรุนแรง ทำให้เกิดสภาวการณ์ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นบ้านของหลี่เวยกวงจึงเต็มไปด้วยความสามารถของการเกิดเป็นจอหงวน
เมื่อสำรวจบริเวณที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ยังจำเป็นจะต้องสำรวจสุสานบรรพบุรุของหลี่เวยกวง ปรมาจารย์ก็เลยถูกนำไปยังบริเวณสุสานบรรพบุรุษของบ้านหลี่ เมื่อปรมาจารย์มองดูก็ชมว่า ฮวงจุ้ยดี ฮวงจุ้ยดี
แท้ที่จริงแล้ว พื้นที่ตั้งสุสานบรรพบุรุษของบ้านตระกูลหลี่มีชื่อว่า “ถานเซี่ย (潭下 ใต้ทะเลสาบ)” สุสานอยู่ใกล้กับริมฝั่งแม่น้ำของใต้ทะเลสาบ ใต้สุสานมีพื้นที่ลาดเอียงสามระดับ แต่ละระดับๆ ต่ำลงไปยังริมแม่น้ำของใต้ทะเลสาบ แล้วแม่น้ำใต้ทะเลสาบก็พุ่งตรงไปยังด้านล่าง ตรงผ่านไปยังบ้านที่หลี่เวยกวงอาศัยอยู่ ผ่านไปยังใต้เทือกเขาปังกงของหมู่บ้านหวางผู่ แล้วค่อยไหลเข้าสู่แม่น้ำอู่ฮว๋า
ฉะนั้นฮวงจุ้ยพื้นที่ตั้งสุสานบรรพบุรุษตระกูลหลี่มีชื่อเรียกว่า “ถานเซี่ยซานจี๋ล่าง (潭下三級浪 คลื่นสามระดับใต้ทะเลสาบ)” เป็นฮวงจุ้ยพื้นที่ล้ำค่าที่มีชื่อเสียงของท้องที่นั้น
สรุปคือดังนั้นหลี่เวยกวงจึงสอบได้เป็นจอหงวน ทั้งหมดก็เพราะบริเวณที่อยู่อาศัยและสุสานบรรพบุรุษเป็นฮวงจุ้ยพื้นที่ล้ำค่าที่คอยปกป้องคุ้มครองนั่นเอง
ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะครับ…สวัสดีครับ
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับฮวงจุ้ยผ่านทางเฟซบุ๊คได้ที่ เพจฮวงจุ้ยอาจารย์หม่า
https://www.facebook.com/pages/ฮวงจุ้ยอาจารย์หม่า
วันที่ 1/03/2557 เวลา 0:59 น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น